การจดทะเบียนบริษัทอย่างง่ายๆ

เริ่มต้นเตรียมตัวอย่างไร? เมื่อคิดจดบริษัท

เริ่มจากตั้งชื่อบริษัท แนะนำให้คิดชื่อแบบกลางๆ จะทำให้เราสามารถทำธุรกิจได้หลายอย่าง เช่น ประกอบกิจการบริการ ประกอบกิจการซื้อมาขายไป ประกอบกิจการรับผลิตสินค้า ประกอบกิจการนำเข้า-ส่งออก ประกอบกิจการรับเหมาก่อ สร้าง ประกอบกิจการรับเป็นที่ปรึกษาด้านต่างๆ โดยไม่ให้ขัดกับชื่อที่เราตั้งไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ชลธี บิสซิเนส กรุ๊ป จำกัด ก็สามารถให้บริการได้ทุกๆด้าน โดยไม่ขัดกับชื่อบริษัท แต่ถ้าเราตั้ง ชื่อบริษัท ควิก แอคเคาท์ติ้ง จำกัด แล้วไปให้บริการรับเหมาก่อสร้างก็คงจะดูไม่เหมาะสมกับชื่อ

หลังจากเราตั้งชื่อได้แล้วก็สามารถเข้าไปจอง ชื่อนิติบุคคล ได้ที่เว็บไซต์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลังจากนั้นก็มาดู เรื่องต่อไป คือ ผู้ก่อการจัดตั้งจดทะเบียนบริษัทเมื่อก่อนใช้ 7 คน แต่ตอนนี้กฎหมายใหม่เหลือแค่ 3 คน อนาคตอาจ เหลือเพียง 2 คน ทำให้เราจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ง่ายขึ้นมาก “เห็นไหมครับว่าไม่มีอะไรยาก” เอาละครับ ถ้ามีเรา เพียงคนเดียวก็จัดตั้งบริษัทไม่ได้ ผมแนะนำให้เราเรียนเชิญ คุณพ่อ คุณแม่ พี่น้อง ญาติติโกโหติกา นามสกุลเดียวกันก็ ได้ หรือแม้แต่เพื่อนสนิทมาร่วมเป็นเกียรติ ถือหุ้นให้เราสัก 2 คน คนละ 1 % ก็พอครับ ที่เหลือเราก็ถือไว้ทั้งหมด 98 % และเราก็เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามกระทำแทนบริษัทเพียงคนเดียว ถ้าผู้ที่จะมาถือหุ้นเค้ากลัวเรื่องกฎหมาย เรื่องภาษี บอกเค้าเลยครับ ว่าผู้ถือหุ้นรับผิดชอบแค่ส่วนของมูลค่าที่ตัวเองถือเท่านั้น เช่น หุ้นละ 100 บาท ถือไว้ 1 หุ้น ก็รับผิดชอบเพียง 100 บาทเท่านั้น ส่วนเรื่องภาษง ภาษี อะไรก็ไม่ต้องกลัวเพราะยังไม่มีรายได้จากการปันผลหุ้นเลย รอบริษัทมีกำไร และมีมติปันผลหุ้นก่อน และถ้ามีการปันผลจริงหุ้นละ 100 บาท จะมีรายได้สักเท่าไรครับ แทบจะไม่ มีผลเลย พอจะเข้าใจกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ ที่นี่มาถึงเรื่องเงินทุนจดทะเบียน หลายๆคนยังเข้าใจว่าต้องมี 1 ล้านบาท จริงๆถึงจะเปิดบริษัทได้ซึ่งไม่จำเป็นเลยครับ ผมแนะนำนะครับให้จดเริ่มต้นที่ทุน 1 ล้านบาทก่อน เพื่อให้ดูดี และมี ความน่าเชื่อถือเวลาที่ติดต่องานกับลูกค้าจะได้ไม่อายเค้า โดยให้เลือกชำระค่าหุ้นเพียง 25 % ก่อน เพื่อให้ง่ายกับการ ทำบัญชีของบริษัท และแก้ปัญหาในเรื่องของเงินลงทุนในช่วงแรก

ต่อจากนั้นก็ถึงขั้นตอนการจัดเตรียมเอกสาร ไม่ยากครับ เอกสารที่ใช้ก็มี สำเนาบัตรประชาชนผู้ก่อตั้งทั้ง 3 ท่าน และ สำเนาทะเบียนบ้านที่ตั้งบริษัท (ออฟฟิศที่ทำงานของเราเอง) ก็สามารถทำแบบจดทะเบียนได้แล้ว ปกติถ้ามีเวลาเรา สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาพิมพ์และทำเองได้แต่จะเสียเวลานะครับ เนื่องจากเราไม่ ได้ทำเป็นประจำ และเอกสารก็มีจำนวนหลายแผ่น ผมแนะนำให้จ้างบริษัทรับจดทะเบียน เช่น บริษัท ชลธี บิสซิเนส กรุ๊ป จำกัด ซึ่งให้บริการรับจดทะเบียนทั่วประเทศ แถมยังมีบริการอย่างอื่นครบวงจร อาทิเช่น รับจดทะเบียนบริษัท รับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด รับจดทะเบียนมูลนิธิ รับจดทะเบียนสมาคม อีกทั้งยังรับขอใบอนุญาตธุรกิจด้านอื่นๆ รับบริการทำบัญชี รับปรึกษาทางด้านการตลาด ด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับการเริ่มก่อตั้งธุรกิจโดยเฉพาะ

เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะทำเอกสารเอง หรือจะจ้างบริษัทที่รับจดทะเบียน เมื่อเอกสารครบและจัดเตรียมแบบเสร็จเรียบร้อย พร้อมให้ผู้ก่อตั้งลงนามครบทั้งหมด ก็สามารถนำไปจดได้จัดตั้งบริษัทได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือ พาณิชย์จังหวัด ใช้เวลาไม่เกินครึ่งวันก็เสร็จ แนะนำให้ไปดำเนินการในช่วงเช้า เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดก็สามารถแก้ไขและดำเนินการต่อในช่วงบ่าย

เห็นไหมครับว่าการจดทะเบียนบริษัทนั้นง่ายมาก แต่สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะบอก คือทำอย่างไรถึงจะบริหารและดูแล ธุรกิจของเราให้เจริญเติบโต ตรงนี้คือสิ่งสำคัญมากกว่าครับ สิ่งที่จะทำให้เราดูแลกิจการ คือระบบบัญชีที่ดี ถ้าสังเกตง่ายๆ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่จะส่งลูกหลานไปเรียนทางด้านบัญชี เพื่อกลับมาดูแลธุรกิจของตัวเอง

มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่คิดจะจดจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ผมแนะนำว่าให้จดทะเบียนบริษัทเลยดีกว่าครับ เพราะไหนๆแม้ว่าจะเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจำกัด ก็ต้องมีหน้าที่จัดทำบัญชี และเสียภาษีหลักเกณฑ์เดียวกัน ผมจะอธิบายข้อดีของบริษัทจำกัด เป็นข้อๆนะครับ

  1. บริษัทจำกัด มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ชัดเจนโดยการลงทุนของผู้ถือหุ้นต้องลงทุนด้วยเงิน แบ่งเป็น หุ้นๆละเท่าๆกัน แต่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ลงทุนด้วยเงิน ลงทุนด้วยทรัพย์สิน แรงงานความสามารถ สิ่งบางครั้งตีเป็นมูลค่า ได้ยาก
  2. โครงสร้างการบริหารจัดการ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารของบริษัทจำกัด จะต้องมีการเชิญ ประชุมและลงประกาศหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ทำให้มีกฎหมายบังคับใช้มากกว่า
  3. บริษัทจำกัด ทำบัญชีได้ง่ายกว่า เพราะสามารถชำระมูลค่าหุ้นขั้นต่ำ 25 % ของทุนจดทะเบียนทั้ง หมดได้ และไม่ต้องยืนยันยอด ภาษีซื้อ- ภาษีขาย
  4. ชาวต่างชาติสามารถเป็นกรรมการและมีอำนาจลงนามได้ โดยถือสัดส่วนหุ้นไม่เกิน 49% เพื่อให้ เป็นบริษัทสัญชาติไทย ซึ่งถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้าชาวต่างชาติเป็นหุ้นส่วนกรรมการ ก็จะถือว่าเป็น นิติบุคคล ต่างด้าว

คิดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

คนมีกับคนไม่มีคิดต่างกันรู้ไหม

วันนี้เรามีแนวคิด คิดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จมาบอกกัน คนประสบความสำเร็จ =คนมั่งมี หรือคนรวย คนไม่ประสบความสำเร็จ = คนไม่มี หรือคนจน ลองดูว่าคุณเป็นแบบไหน แล้วจะเปลี่ยนให้เป็นคนประสบความสำเร็จ หรือเป็นคนมั่งมี ได้อย่างไรกัน

  1. ความคิด ความคิดสะท้อนจิตใจคนเรา ความเข้มแข็ง กล้าก้าวผ่านความกลัว ทำให้คนประสบความสำเร็จมามาก แค่คุณลองเปลี่ยนแนวคิดง่ายๆ จากที่คิดว่า
    คุณ “ทำไม่ได้” เป็น “ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้” อย่างน้อยการลองทำ ถึงจะยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็ยังมีบทเรียน ให้เราพัฒนาขึ้นไปอีก
  2. การคว้าโอกาส “คนรวยมองหา โอกาสคนจนมองหา อุปสรรค” คำพูดนี้สะท้อนได้ดี ถึงแนวคิดที่ต่างกันระหว่างคนสองแบบ เพราะคนประสบความสำเร็จ
    มัก จะมองหาโอกาส ที่จะก้าวหน้า ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ มันจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอุปสรรค ทำให้ย่ำอยู่กับที่ จนลืมไปว่าโอกาสนั้น ไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ
    กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ว่าคนเหล่านั้น ไม่เจออุปสรรคเลย หากแต่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และมองปัญหา เป็นเรื่องเล็ก
  3. หาช่องทางทำเงิน โดยมากคนรวยมักไม่ยอมมีรายได้ทางเดียว เพราะเขาเหล่านั้นคิดว่า ยังมีโอกาสสร้างรายได้เสริม เพื่อประคองงานที่เป็นรายได้หลักของเขาได้
    ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ มักมีรายได้จากงานประจำเพียงอย่างเดียว
  4. แสวง หาความรู้ คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ และรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพื่อพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คนล้มเหลว
    หรือคน ที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักจะมีอีโก้สูง และคิดว่าตนเองรู้หมดแล้ว เก่งแล้ว จึงไม่มีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ดังนั้นในขณะที่คนหาความรู้ใหม่เพื่อพัฒนาตนเอง ประสบความสำเร็จแล้ว
    แต่คนที่ไม่แสวงหาความรู้ใหม่ๆ จึงย่ำอยู่กับที่ ไม่ประสบความสำเร็จ
  5. ฝึก วินัย  วินัยในที่นี้ คือวินัยในการทำงาน และทางการเงิน อันเป็นสิ่งสำคัญที่คนต้องการประสบความสำเร็จพึงมี ดังนั้นเราควรฝึกวินัยให้ตนเอง ในช่วงแรก อาจจะ
    น่าอึดอัดไปบ้าง แต่หากเราทำเป็นนิสัยแล้ว จะติดตัวเราไปเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ขาดวินัยทางการเงินส่วนใหญ่ มักไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่ร่ำรวย เพราะไม่รู้จักเก็บออม
    ใช้จ่ายเกินตัว  ผ่อนยืมเงินอนาคตมาใช้  ฟุ้มเฟือยโดยไม่เกิดรายได้
  6. ยินดี กับความสำเร็จ คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักจะยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นและแลกเปลี่ยนมุนมอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆโลกจะกว้างขึ้นและมีสิ่งดี ๆ เข้ามาเสมอ
  7. ลงมือทำ คนประสบความสำเร็จส่วนมาก หาทางลดความเสี่ยง ในการเริ่มต้น ก่อนลงมือทำเสมอ ในขณะที่คนไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักกลัวที่จะเริ่มต้น
    เนื่องจาก กลัวล้มเหลว นั่นเอง
  8. คิด ใหญ่ “คนรวยคิดใหญ่ คนจนคิดเล็ก” ขนาดของความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับความคิด ดังนั้น คนประสบความสำเร็จส่วนมาก จึงคิดแผนการใหญ่ และมีแผนสำรอง
    ไว้รองรับแผนสำหรับอนาคตต่อไป
  9. ให้ เงินทำงาน ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน แนวคิดของคนไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่คือ การทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อกินดอกผลต่อไป สุดท้ายคือไม่มีเงินเก็บ
    ใน ขณะที่คนประสบความสำเร็จมักจะ จัดสรรรายได้ โดยแบ่งเงินไว้เก็บออม และไว้ใช้จ่าย แล้วนำเงินออมนั้นมาลงทุนทำให้เกิดรายได้ต่อไป จะเห็นได้ว่า
    คนที่เริ่มออมก่อนจะได้เปรียบกว่าหลายเท่า จากอัตราดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งเป็นเคล็ดลับด้านการลงทุนอย่างหนึ่ง

IN1502131737
เครดิตข้อมูลจาก http://terrabkk.com

งบการเงิน

งบการเงินมีกำหนดส่งอย่างไร?

หลายคนมีข้อสงสัยว่าทำไมต้องยื่นงบการเงิน  ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประกาศจะขีดชื่อนิติบุคคลที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครกว่า 10,000 ราย ออกจากทะเบียน เนื่องจากไม่ได้ส่งงบการเงินต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี และหรือไม่ยื่นชำระบัญชีให้แล้วเสร็จตามกฎหมาย ส่งผลให้นิติบุคคลเหล่านี้สิ้นสภาพไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อีกต่อไป

  • ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน นิติบุคคลต่างประเทศ กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องนำส่ง ภายใน 5 เดือน นับแต่วันปิดบัญชี
  • บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ต้องนำเสนอ เพื่ออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่ ภายใน 4 เดือน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี และยื่นงบการเงิน ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่งบการเงินได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่
  • หอการค้า สมาคมการค้า ต้องนำเสนอ เพื่ออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่ ภายใน 120 วัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี และยื่นงบการเงิน ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่งบการเงินได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่

วิธีการยื่นงบการเงิน: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้บริการรับงบการเงิน โดยนิติบุคคล สามารถนำส่งงบการเงินได้ 3 ช่องทาง

  1. นำส่งด้วยตนเอง ณ หน่วยงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  2. ส่งทางไปรษณีย์ ไปยังกองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เลขที่ 563 ถนนนนทบุรี อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
  3. ส่งทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filling)

อัตราค่าปรับ กรณีนำส่งงบการเงินล่าช้า

Rate_of_fine_fs

9 พฤติกรรมเพิ่มทักษะการเงิน

ทำงานมานานแล้วยังไม่มีเงินเก็บหรือเปล่า

คุณเป็นอีกคนที่ทำงานมานานแล้วยังไม่มีเงินเก็บหรือเปล่า ลองมาปรับทัศนคติทางการเงิน ตามนี้กัน 9 ข้อง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมีเงินในอนาคต และไม่ต้องลำบากในวันข้างหน้า
N150205530

  1. รู้ทันสภาพการเงินของตัวเองเสมอ พฤติกรรมเพิ่มทักษาทางการเงินสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัญหาการเงิน อาจมาจากสิ่งที่เกินความคาดหมาย
    ไม่ ทันตั้งตัว ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจสภาพการเงินของตัวเอง สิ่งที่สำคัญคือ ต้องรู้ว่าเรามีเงินมากน้อยขนาดไหน สำหรับการดำเนินชีวิตในอนาคต เริ่มต้นได้
    โดยการเลือกลงทุน หรือบริหารเงินของคุณตั้งแต่วันนี้
  2. กำหนด กรอบชีวิต การกำหนดกรอบชีวิตเป็นการคัดกรองไลฟ์สไตล์ของคุณ ว่าสิ่งไหนจำเป็น หรือเกินความจำเป็น เพราะในที่สุดแล้วกรอบชีวิตจะสามารถตอบโจทย์
    การใช้ชีวิต ทั้งหน้าที่การงาน รวมไปถึงเป้าหมายในชีวิตของคุณ
  3. ใช้ ชีวิตอย่างสมดุล อย่าเสียเวลากับสิ่งรอบข้าง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียเวลากับสิ่งที่จะทำให้คุณมีภาระหนี้เพิ่ม ดังนั้นคุณควรเพิ่มทักษะ การเรียนรู้การจ่ายเงิน
    น้อยกว่าเงินที่มี โดยเริ่มจากหาสิ่งที่รักและพอดีกับงบประมาณในกระเป่า เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริงในระยะยาว
  4. อย่า เสียเงินเพื่อเป็นที่ยอมรับ  เราปฎิเสธไม่ได้ว่าการเข้าสังคมเป็นเรื่องปกติ แต่คุณต้องหาคำตอบว่าจำเป็นกับชีวิตคุณจริงๆหรือไม่ อย่าจ่ายเงินซื้อความสุข
    ในขณะที่คุณไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ ดังนั้นคุณต้องปรับทัศนคติ และเปลี่ยนพฤติกรรมคือ เรียนรู้ที่จะปฎิเสธในการจ่ายเงินโดยไม่จำเป็น
  5. เตรียม แผนเกษียณอายุ สังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ปัจจุบันมีขนาดเล็กลง พ่อแม่ที่ไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน ควรวางแผน
    การเงินหลังเกษียณ มิฉะนั้นคุณจะไม่มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างที่คาดหวังในยามแก่เฒ่าได้เลย
  6. ปรึกษา เรื่องเงินกับคนรู้ใจ เงินทองเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร ดังนั้นควรหาคนไว้ใจได้ สามารถพูดคุยเรื่องเงินได้โดยที่เขาเต็มใจและเข้าใจ
  7. ปรับ ทัศนคติด้านการเงินกับคู่คิด ก่อนแต่งงาน เพราะพื้นฐานชีวิตที่ต่างกัน จะทำให้ทัศนคติและพฤติกรรมการใช้เงินต่างกัน ดังนั้น คุณควรพูดคุยและเรียนรู้ทัศนคติ
    ทางการเงินกับคู่ชีวิตของคุณ เพื่อให้เกิด “จุดสมดุลทางการเงิน” ที่สร้างความลงตัวให้คุณทั้งสอง
  8. ยึด หลักดำเนินชีวิตเรียบง่าย  เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจธรรมชาติของชีวิตในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสุขทางใจโดยไม่ยึดติดกับวัตถุนิยม, การเลี้ยงลูก
    ด้วยความรักความอบอุ่น ดีกว่าเลี้ยงด้วยวัตถุ, ออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ ดีกว่าเสียเงินเพื่อยื้อสุขภาพ เป็นต้น
  9. อย่า ปล่อยให้ใครมาจัดการเงินของคุณมากกว่าตัวคุณ การผลักภาระการบริหารการเงินให้คนอื่น อย่างที่ปรึกษาการเงิน โดยที่คุณเองไม่มีความเข้าใจและเห็นคล้อย
    ตามเขาไปเสียทุกอย่าง นั่นคือความประมาทอย่างใหญ่หลวง เพราะเขาอาจมีสิ่งอื่นแอบแฝง เช่น การทำยอดให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่แท้จริง
    ของคุณเลย แทนที่จะทำให้คุณมีเงินมากขึ้น อาจกลายเป็นการสูญเสียเงินโดยไม่จำเป็นก็เป็นได้

เครดิตข้อมูลจาก http://terrabkk.com/news/9-